ไฟหน้ารถยนต์เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับรถทุกคัน และการไม่มีไฟหน้าถือว่าผิดกฎหมาย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มองเห็นในตอนกลางคืนหรือช่วงฝนตกหนัก ปัจจุบันไฟหน้ารถยนต์ได้มีการพัฒนาอย่างมาก มีหลายแบบให้เลือก ดังนั้น วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ “ไฟหน้า LED รถยนต์” ที่มีประสิทธิภาพในการส่องสว่างสูง เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นได้ดีขึ้น โดยแต่ละรุ่นและแบรนด์นั้นจะมีความแตกต่างในเรื่องของความสว่าง ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ มาดูกันเลย

ไฟหน้ารถยนต์ LED คืออะไร

ไฟหน้ารถยนต์ LED หรือ LED Headlight เป็นหลอดไฟที่ใช้เทคโนโลยี Light Emitting Diode (LED) ซึ่งหมายถึงไดโอดที่ปล่อยแสง หลักการทำงานของหลอดไฟ LED คือการให้กระแสไฟฟ้าผ่านไดโอดเพื่อสร้างแสง แทนที่การใช้ลวดในหลอดฮาโลเจนหรือตัวขั้ว Electrode ในหลอดซีนอน ไฟหน้า LED มีความสว่างสูงและความร้อนต่ำ แสงจากหลอด LED คือโทนสีขาวอมฟ้าที่ให้ความสวยงามและใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติในเวลากลางวัน มีความเข้มของแสงมากกว่าหลอดซีนอนหรือหลอดฮาโลเจน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งที่ง่ายและทนทานสูง ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในรถยนต์ใหม่ในปัจจุบัน

รถยนต์มีไฟหน้าประเภทไหนบ้าง?

หลอดไฟหน้าของรถยนต์แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก.

  • หลอดไฟฮาโลเจน Halogen หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหลอดฮาโลเจนทังสเตน เป็นประเภทของหลอดไฟที่นิยมใช้ในรถยนต์ โดยมีไส้หลอดทำจากทังสเตน เช่นเดียวกับหลอดไฟในบ้าน และภายในจะมีแก๊สฮาโลเจนซึ่งประกอบไปด้วยไนโตรเจนและอาร์กอน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ไส้ทังสเตนจะร้อนและปล่อยไอที่รวมตัวกับก๊าซฮาโลเจนเพื่อผลิตแสงสว่าง ซึ่งหลอดฮาโลเจนที่ใช้อยู่จะมีความสามารถในการใช้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 55W ถึง 60W.
  • หลอดไฟ Xenon (ซีนอน) หรือ HID ที่ย่อมาจาก High Intensity Discharge เป็นหลอดไฟที่ถูกใช้ในรถยนต์หรูหรามากว่า10ปีที่ผ่าหลอดไฟฮาโลเจน Halogen หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหลอดฮาโลเจนทังสเตน เป็นประเภทของหลอดไฟที่นิยมใช้ในรถยนต์ โดยมีไส้หลอดทำจากทังสเตน เช่นเดียวกับหลอดไฟในบ้าน และภายในจะมีแก๊สฮาโลเจนซึ่งประกอบไปด้วยไนโตรเจนและอาร์กอน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ไส้ทังสเตนจะร้อนและปล่อยไอที่รวมตัวกับก๊าซฮาโลเจนเพื่อผลิตแสงสว่าง ซึ่งหลอดฮาโลเจนที่ใช้อยู่จะมีความสามารถในการใช้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 55W ถึง 60W.
  • หลอดไฟ Xenon (ซีนอน) หรือ HID ที่ย่อมาจาก High Intensity Discharge เป็นหลอดไฟที่ถูกใช้ในรถยนต์หรูหรามากว่า10ปีที่ผ่านมา และภายหลังได้ถูกนำมาใช้ในรถทั่วไป ก่อนที่จะมีการพัฒนาเป็นหลอด LED หลอดไฟซีนอนมีความเข้มของแสงมากกว่าหลอดฮาโลเจน และให้แสงขาวสว่างมากขึ้น โดยหลักการทำงานของหลอดไฟซีนอนจะแตกต่างจากหลอดฮาโลเจน เนื่องจากไม่มีลวดทังสเตนภายใน แต่จะประกอบด้วยแก๊สซีนอนและขั้ว Electrode ไฟฟ้า เมื่อไฟฟ้าผ่านระหว่างขั้ว Electrode ทั้งสอง จะทำให้แก๊สซีนอนเกิดแสงสว่าง ซึ่งแสงที่ได้จะมีลักษณะเป็นแสงสีขาว และมีความสว่างมากกว่าหลอดฮาโลเจน โดยประมาณความสว่างอยู่ที่3000 LM และหากวัดอุณหภูมิสี จะอยู่ที่4300K
  • หลอดไฟ LED (แอลอีดี) เป็นเทคโนโลยีที่แทนที่หลอดไฟซีนอน โดยการทำงานของหลอดไฟแอลอีดีจะใช้กระแสไฟฟ้าผ่านไดโอดเพื่อผลิตแสงสว่าง แทนการใช้ลวดในหลอดฮาโลเจนหรือขั้ว Electrode ในหลอดซีนอน ซึ่งหลอดไฟแอลอีดีมีความสว่างสูง มีความร้อนต่ำและใช้พลังงานน้อยกว่า.
  • หลอดไฟเลเซอร์ Laser เป็นชนิดของหลอดไฟที่มักจะพบในรถหรูที่มีราคาสูงจากผู้ผลิตในยุโรป โดยวิธีการทำงานของหลอดไฟเลเซอร์จะใช้การยิงแสงไปยังกระจกที่มีสารฟอสฟอรัสสีเหลืองอยู่ในเลนส์ ทำให้แสงเปลี่ยนเป็นแสงสีขาว ซึ่งสามารถให้ความสว่างได้ไกลมากกว่าหลอดไฟ LED ถึงสองเท่านมา และภายหลังได้ถูกนำมาใช้ในรถทั่วไป ก่อนที่จะมีการพัฒนาเป็นหลอด LED หลอดไฟซีนอนมีความเข้มของแสงมากกว่าหลอดฮาโลเจน และให้แสงขาวสว่างมากขึ้น โดยหลักการทำงานของหลอดไฟซีนอนจะแตกต่างจากหลอดฮาโลเจน เนื่องจากไม่มีลวดทังสเตนภายใน แต่จะประกอบด้วยแก๊สซีนอนและขั้ว Electrode ไฟฟ้า เมื่อไฟฟ้าผ่านระหว่างขั้ว Electrode ทั้งสอง จะทำให้แก๊สซีนอนเกิดแสงสว่าง ซึ่งแสงที่ได้จะมีลักษณะเป็นแสงสีขาว และมีความสว่างมากกว่าหลอดฮาโลเจน โดยประมาณความสว่างอยู่ที่3000 LM และหากวัดอุณหภูมิสี จะอยู่ที่4300K
  • หลอดไฟ LED (แอลอีดี) เป็นเทคโนโลยีที่แทนที่หลอดไฟซีนอน โดยการทำงานของหลอดไฟแอลอีดีจะใช้กระแสไฟฟ้าผ่านไดโอดเพื่อผลิตแสงสว่าง แทนการใช้ลวดในหลอดฮาโลเจนหรือขั้ว Electrode ในหลอดซีนอน ซึ่งหลอดไฟแอลอีดีมีความสว่างสูง มีความร้อนต่ำและใช้พลังงานน้อยกว่า.

เมื่อเลือกไฟหน้า LED สำหรับรถยนต์ ขั้นตอนแรกคือการระบุประเภทของขั้วหลอดไฟที่รถของคุณใช้ เนื่องจากรถแต่ละรุ่นมีขั้วหลอดไฟที่แตกต่างกัน เช่น H1, H4, H7, H8, H11 หรือ HB4 โดยทั่วไปแล้ว ขั้วหลอดไฟ H4 จะใช้สำหรับรถยนต์ส่วนใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากมีไส้หลอดไฟคู่สำหรับไฟต่ำและไฟสูงในหลอดเดียว ความแตกต่างระหว่างขั้วหลอดไฟสามารถระบุได้โดยการตรวจสอบรูปร่างของขั้วหลอดไฟ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภท หากคุณไม่สามารถระบุประเภทของขั้วหลอดไฟได้ คุณสามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้ในคู่มือรถของคุณ

นอกจากนี้ควรพิจารณาค่าเคลวินและค่าลูเมนที่มีผลต่อความสว่างของไฟหน้ารถยนต์ โดยค่าลูเมนแสดงถึงความสว่างของแสง ซึ่งถ้าค่ายิ่งสูงจะทำให้สว่างและมองเห็นได้ชัดขึ้น แต่ควรเลือกซื้อไม่เกิน 4200 LM เพราะอาจมีความจุมากเกินไปและรบกวนผู้ขับขี่คนอื่น ส่วนค่าเคลวินเป็นค่าที่บ่งบอกอุณหภูมิของสี โดยค่า K ยิ่งสูงจะยิ่งทำให้สีขาวมากขึ้น โดยปกติหลอดไฟที่ติดมาตั้งแต่โรงงานจะไม่เกิน 4300K ซึ่งจะมีสีขาวนวลอมเหลือง และเป็นค่าที่กฎหมายกำหนดไว้สูงสุด

  1. ไฟหน้ารถยนต์ LED Philips
    2.ไฟหน้ารถยนต์ LED Osram

ไฟสปอร์ตไลท์ (หารูปไฟ PIAA ARB iNTENsity Stedi ที่เราเคยติดตั้งใส่ไปเลย)

การใช้งานได้หลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานทุกประเภท

  • ใช้ไฟหน้าและไฟตัดหมอกเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนหรือเมื่อฝนตก
  • ใช้ไฟถอยหลังเพื่อเพิ่มความมั่นใจและมุมมองขณะถอยรถในเวลากลางคืน
  • ใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับเครน รถโฟล์คลิฟท์ หรือ รถพยาบาล และรถกู้ภัย
  • ไฟส่องสว่างบนเรือหรือในพื้นที่ที่มุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน

สามารถติดตั้งได้ง่าย

ไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์ที่มีแสงสว่างมากกว่าไฟหน้ารถทั่วไป เพื่อช่วยให้มองเห็นในสภาพทัศนวิสัยที่ไม่ดี อย่างไรก็ตาม การใช้ไฟตัดหมอกในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมอาจจะรบกวนทัศนวิสัยของผู้ขับขี่คนอื่นได้ ดังนั้นจึงควรเข้าใจว่าไฟตัดหมอกไม่ใช่อุปกรณ์ประดับรถยนต์ และควรเปิดใช้ในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่มีหมอกหนาหรือฝนตกหนัก นอกจากนี้ในกรณีที่มีฝุ่น PM2.5 ควรใช้ไฟตัดหมอกเพื่อเพิ่มความเห็นได้ชัดเจน และช่วยให้ผู้ใช้รถร่วมทางเห็นรถของเรามากขึ้น เพื่อลดโอกาสการรบกวนสายตา

ไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อความสวยงามหรือแสดงสถานะของรถยนต์ว่ามีรุ่นสูงสุด ผู้ขับขี่หลายคนในประเทศไทยมักมีความเข้าใจผิดว่าไฟตัดหมอกจะทำให้ไฟหน้ารถสว่างขึ้นและช่วยเพิ่มความโดดเด่นเมื่อเปิดใช้งานในตอนกลางคืน.

ในทางกลับกัน ผู้ขับขี่ที่ขับรถสวนทางมา มักจะรู้สึกไม่สบายตัวเนื่องจากไฟตัดหมอกที่ส่องทะลุผ่านหมอก แม้ว่าจะมีปัญหาต่างๆ มากมายเกิดขึ้น แต่รถยนต์บางคันก็ยังคงใช้ไฟตัดหมอกตลอดเวลาตามปกติ

การกำเนิดของ “ไฟตัดหมอก” เป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยไฟตัดหมอก หรือที่เรียกว่า “Fog Lamp” ในภาษาสากล ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีอากาศหนาวและฝนตกบ่อย จึงจึงมีความจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้การขับขี่รถยนต์ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ไฟตัดหมอกมักใช้หลอดไฟที่มีความสว่างสูงกว่าหลอดไฟหน้ารถทั่วไป แต่ในรถยนต์รุ่นใหม่ได้มีการพัฒนาใช้เทคโนโลยี LED ซึ่งยังคงให้ความสว่างเข้มข้นมากกว่าไฟหน้าแบบเดิม ตำแหน่งการติดตั้งไฟตัดหมอกหน้าจะอยู่ที่ด้านล่างหน้ารถ โดยลำแสงจะขนานกับพื้นถนนและสามารถส่องไปไกลกว่าหลอดไฟหน้า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับไฟหน้าทั่วไปคือ เมื่อมีหมอกหนาหรือฝนตกหนัก แสงจากไฟหน้าจะทำให้เกิดแสงฟุ้งเกินไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อความชัดเจนในการมองเห็นของผู้ขับขี่ ดังนั้นไฟตัดหมอกจึงมีความสำคัญในการช่วยเพิ่มทัศนวิสัยเมื่อเจอสภาพอากาศที่ไม่ดี

แสงจากโคมตัดหมอกจะส่องได้ไกลขึ้น ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นในระยะประมาณ 30-80 เมตร ตำแหน่งการติดตั้งที่ต่ำลงช่วยให้ลำแสงลดแสงสะท้อนจากหมอก ละอองฝน หรือฝุ่นได้ ทำให้ไม่บดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่

ไฟตัดหมอกถูกมองว่าคือคุณสมบัติของรถรุ่น Top หรือไม่? อย่างไรก็ตาม “ไฟตัดหมอก” ที่มักจะมีในย่านเมืองหนาว เมื่อรถรุ่น Top ราคาสูงถูกติดตั้งในบ้านเรา ทำให้ต้องพิจารณาว่ามันจะถูกใช้งานเมื่อไหร่? สิ่งที่เกิดขึ้นคือแนวคิดที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไฟตัดหมอก ซึ่งมักถูกเชื่อมโยงกับรถรุ่น Top หรืออย่างน้อยรุ่นที่สูงกว่านั้น จึงจะมีไฟตัดหมอกติดตั้งอยู่.

พ่อค้าได้มีความคิดที่จะติดตั้งไฟตัดหมอกให้กับรถรุ่นล่างที่ราคาไม่สูง โดยจัดประเภทไว้ในหมวด “ประดับยนต์” เพื่อเพิ่มความหล่อให้ดูคล้ายกับรุ่น Top มีตัวเลือกที่หลากหลายตั้งแต่ราคาหลายพันจนถึงราคาหลักหมื่น ซึ่งการใช้งานจริงอาจแตกต่างกันไป แสงที่ฟุ้งกระจายอาจสร้างความรบกวนให้กับผู้ใช้ถนนคนอื่นได้โดยไม่ตั้งใจ

การใช้ไฟตัดหมอกควรทำในช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่คิดว่า “มีดีกว่าขาด” การเลือกซื้อรถที่ติดตั้งไฟตัดหมอกมาแต่แรกก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ควรเข้าใจเกี่ยวกับจังหวะและโอกาสในการใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนคนอื่นด้วย

ในช่วงที่มีหมอกหนาหรือฝนตกหนัก รวมถึงในช่วงที่เรามักพบเจอฝุ่น PM2.5 บ้านเรา การเปิดใช้งาน “ไฟตัดหมอก” ถือเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้กับเรายังช่วยให้รถของเราโดดเด่นขึ้นเพื่อให้เพื่อนร่วมทางมองเห็นได้ง่าย โดยไม่ต้องเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากแสงที่แยงตา ดังนั้นการใช้ไฟตัดหมอกในสถานการณ์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

Categories:

Tags: